การประเมินความน่าเชื่อถือของหลักฐานทางประวัติศาสตร์
การศึกษาประวัติศาสตร์ จำเป็นต้องอาศัยหลักฐานต่าง ๆ
เกี่ยวกับเรื่องนั้น ๆ มาศึกษาวิเคราะห์ ตีความเรื่องราว
และตรวจสอบความถูกต้องของเรื่องราวเหตุการณ์นั้น ๆ
หลักฐานที่เกี่ยวข้องกับเรื่องราวประวัติความเป็นมาของมนุษย์ เรียกว่า
หลักฐานทางประวัติศาสตร์ ซึ่งสามารถแยกได้ดังนี้
1. หลักฐานทางศิลปกรรมและโบราณคดี หลักฐานทางศิลปกรรมที่สำคัญ คือ
ศิลปวัตถุแบบอู่ทอง ศิลปวัตถุแบบลพบุรี ศิลปวัตถุแบบทวารวดี
นอกจากนี้ได้แก่ เงินตรา ซากอิฐปูนของวัดวาอาราม พระพุทธรูป
เครื่องใช้ตามบ้านเรือน ฯลฯ
2. หลักฐานที่เป็นหนังสือเก่านั้นมักจะเขียนลงบนสมุดข่อยหรือใบลาน
เช่น ตำนานสิงหนวัติ (เล่าเรื่องตั้งแต่พระเจ้าสิงหนวัติอพยพมาจากเหนือ)
จามเทวีวงศ์ (เป็นเรื่องเมืองหริภุญไชย) รัตน์พิมพ์วงศ์
(เป็นตำนานพระแก้วมรกต) สิหิงคุนิทาน
(เป็นประวัติพุทธศาสนาและประวัติเมืองต่าง ๆ ในลานนาไทย) จุลยุทธ์กาลวงศ์
(เป็นพงศาวดารไทย ตั้งแต่สมัยพระเจ้าอู่ทอง ตลอดสมัยอยุธยา)
ตำนานสุวรรณโคมคำ และตำนานมูลศาสนา
(เป็นเรื่องราวประวัติศาสตร์ไทยก่อนสมัยสุโขทัย)
ปัญหาของหลักฐานที่เป็นหนังสือเก่า คือ
เราไม่ทราบว่าผู้บันทึกเขียนไว้เมื่อไร มีความจริงแค่ไหน
และแต่งเติมเพียงใด
3. หลักฐานที่เป็นศิลาจารึก
ศิลาจารึกถือว่าเป็นหลักฐานที่สำคัญมากในการศึกษาประวัติศาสตร์ไทยในระยะ
เริ่มแรกสมัยสุโขทัยที่สำคัญได้แก่ ศิลาจารึกหลักที่ 1
(จารึกพ่อขุนรามคำแหง) ศิลาจารึกหลักที่ 2 (จารึกวัดศรีชุม) ,
ศิลาจารึกหลักที่ 3 (จารึกนครชุม) ศิลาจารึกหลักที่ 4 (จารึกวัดป่ามะม่วง)
ศิลาจารึกหลักที่ 8 ข. (จารึกวัดพระมหาธาตุ) จารึกหลักที่ 24
(จารึกวัดหัวเวียงไชยา) จารึกหลักที่ 35 (จารึกดงแม่นางเมือง นครสวรรค์)
จารึกหลักที่ 62 (จารึกวัดพระยืน ลำพูน) ฯลฯ หมายเหตุ
ศิลาจารึกให้ลำดับหลักตามการค้นพบ ก่อน – หลัง
4. หลักฐานพวกที่เป็นพงศาวดารพระราชพงศาวดารสยามมีมากมาย แต่ที่มีความสำคัญต่อการศึกษาประวัติศาสตร์ไทย ได้แก่
4.1 พระราชพงศาวดารสยามที่แต่งในสมัยอยุธยา คือ ฉบับหลวงประเสริฐ
4.2 พระราชพงศาวดารสยามที่แต่งในสมัยรัตนโกสินทร์ แยกเป็น 3 รัชกาล คือ
4.2.1 ฉบับรัชกาลที่ 1 มี 4 สำนวน คือ
ฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม), ฉบับเจ้าพระยาพิพิธพิชัย ฉบับพระพันรัตน์
ฉบับบริติชมิวเซียม
4.2.2 ฉบับรัชกาลที่ 3 มี 1 สำนวน คือ ฉบับสมเด็จกรมพระปรมานุชิตชิโนรส
4.2.3 ฉบับรัชกาลที่ 4 มี 4 สำนวน คือ ฉบับพระราชหัตถเลขา
4.3 พระราชพงศาวดารฉบับอื่น ๆ คือ พระราชพงศาวดารกรุงเก่าฉบับพระจักรพรรดิพงศ์ (จาด) พงศาวดารเหนือ พงศาวดารโยนก
5.
หลักฐานที่เป็นจดหมายเหตุชาวต่างประเทศหลักฐานพวกนี้เป็นหลักฐานภาษาต่าง
ประเทศ เพราะมีชาวยุโรปหลายชาติเข้ามาติดต่อในสมัยอยุธยา
หลักฐานเหล่านี้อยู่ในรูปของบันทึก จดหมายเหตุ จดหมายถึงผู้บังคับบัญชา
จดหมายของข้าราชการและพ่อค้า เอกสารทางการทูต บันทึกของมิชชันนารี เช่น
จดหมายเหตุของลาลูแบร์ บันทึกของบาดหลวงเดอ ชั่ว สี จดหมายเหตุวันวิลิต
เอกสารฮอลันดา ฯลฯ อ้างอิงจาก (สุริยันตร์ เชาวน์ปรีชา: เอกสารประกอบ
การสัมมนาประวัติพระยาพิชัยดาบหักเพื่อการจัดทำหลักสูตรบุคคลสำคัญท้องถิ่น
หลักเกณฑ์การประเมินค่าของหลักฐานทางประวัติศาสตร์ แบ่งเป็น 2 ประเภท
1. การวิเคราะห์และประเมินคุณค่าหลักฐานจากภายใน หมาย
ถึง การตรวจสอบความน่าเชื้อถือของหลักฐานว่า มีความน่าเชื่อถือมาก ปานกลาง
หรือไม่น่าเชื่อถือทั้งหมด ซึ่งจะต้องใช้ด้วยความระมัดระวัง
และควรตรวจสอบดังนี้
1.1 ช่วงระยะเวลาของเหตุการณ์และการบันทึก ได้ทันเหตุการณ์ความถูกต้องย่อมมีมากขึ้น
1.2 จุดมุ่งหมายของผู้บันทึก บางคนตั้งใจบันทึกได้ทันเหตุการณ์ความถูกต้องย่อมมีมากขึ้นเท่านั้น
1.3 ผู้บันทึกรู้ในเรื่องราวนั้นจริงหรือไม่ เรื่องราวที่อ้างอิงมาจากบุคคลอื่นหรือเป็นคำพูดของผู้บันทึกเอง
1.4 คุณสมบัติของผู้บันทึกเกี่ยวกับการศึกษาเล่าเรียน
สภาพแวดล้อมน่าเชื่อถือหรือไม่
ขณะที่บันทึกนั้นสภาพร่างกายหรือจิตใจปกติหรือไม่มีความกดดันทางอารมณ์
หรือถูกบีบบังคับให้เขียนหรือไม่ข้อความในหลักฐานที่อาจเกิดการคัดลอกหรือ
แปลผิดพลาดหรือมีการต่อเติมเกิดขึ้น
1.5 ข้อความนั้นมีอคติเกี่ยวกับเชื้อชาติ ศาสนา ลัทธิการเมือง ฐานะทางเศรษฐกิจ สังคมหรือไม่
1.6 วิธีการในการบันทึกใช้วิธีการบันทึกอย่างไร
ถี่ถ้วนมีอรรถรสหรือเป็นการบันทึกโดยการสืบหาสาเหตุอย่างเที่ยงธรรม
ถ้าหากผู้บันทึกใช้วิธีการทางประวัติศาสตร์บันทึกเหตุการณ์
จะทำให้เป็นหลักฐานที่น่าเชื่อถือ
2. การประเมินคุณค่าหลักฐานจากภายนอก เป็น
การมุ่งวิเคราะห์และพิสูจน์หลักฐานว่า เป็นของจริงหรือของปลอม
ไม่ว่าจะเป็นบางส่วนหรือทั้งหมด โดยอาศัยวิธีการเปรียบเทียบกับหลักฐานอื่น
อย่างไรก็ตาม การตรวจสอบหลักฐานว่าจริงหรือปลอมนั้น
ผู้ศึกษาไม่สามารถตรวจสอบด้วยตนเองได้ทั้งหมด
เพราะต้องใช้ความรู้ความสามารถเฉพาะทางจริง ๆ
จึงต้องอาศัยผลงานหรือขอความร่วมมือจากผู้เชี่ยวชาญสาขาอื่น ๆ
ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งส่วนนี้จะเป็นการตรวจสอบหาข้อบกพร่องของ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น