การแยกแยะหลักฐานทางประวัติศาสตร์
หลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่เป็นลายลักษณ์อักษรจะมีการเขียนเรื่องราวทาง
ประวัติศาสตร์ เรื่องราวที่จดบันทึกไว้เรียกว่าข้อมูล
เมื่อจะใช้ข้อมูลควรต้องดาเนินการ ดังนี้
1. การแยกแยะความแตกต่าง ระหว่างข้อเท็จจริงกับความคิดเห็น
ข้อมูลเรื่องราวทางประวัติศาสตร์
นั้นจะมีทั้งข้อเท็จจริงกับความคิดเห็นของผู้เขียน ผู้บันทึก หรือผู้แต่ง
ข้อเท็จจริง เป็นข้อมูลจากหลักฐานต่าง ๆ ซึ่งอาจตรงกันบ้าง
ไม่ตรงกันหรือขัดแย้งกันบ้าง แต่ความคิดเห็น เป็นส่วนที่ผู้เขียน
ผู้บันทึก หรือผู้แต่ง ผู้ใช้หลักฐาน
คิดว่าข้อมูลที่ถูกต้องน่าจะเป็นอย่างไร
2. การแยกแยะระหว่างความจริงกับข้อเท็จจริง
ข้อมูลหรือเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ เรียกว่า ข้อเท็จจริง คำว่า
ข้อเท็จจริง แยกออกเป็น ข้อเท็จจริงกับข้อจริง
เรื่องราวทางประวัติศาสตร์จึงประกอบด้วย
ข้อเท็จจริงกับข้อจริงหรือความจริง เช่น
เรื่องราวการเสีย กรุงศรีอยุธยา ครั้งที่ 1 (พ.ศ. 2112) การเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2( พ.ศ. 2310 )
ความจริง คือ ไทยเสียกรุงศรีอยุธยาใน พ.ศ. 2112 และ พ.ศ. 2310
ส่วนข้อเท็จจริง คือ ข้อมูลที่เป็นคำอธิบายที่ปรากฏในหลักฐานทั้งหลายว่า ทำไมไทยจึงเสียกรุงศรีอยุธยา เช่น
คนไทยเตรียมตัวไม่พร้อม ผู้น่าอ่อนแอและมีความแตกแยกภายใน
ทหารมีจำนวนน้อย มีอาวุธล้าสมัยและมีจำนวนไม่พอเพียง
ข้าศึกมีผู้นำที่เข้มแข็งและมีความสามารถสูง
มีทหารจำนวนมากกว่าและมีอาวุธดีกว่า ค
าอธิบายดังกล่าวอาจถูกต้องหรือไม่ถูกต้อง
ซึ่งเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าเป็นความจริงหรือไม่เป็นความจริง
ดังนั้นจึงเรียกคำอธิบายหรือเหตุผลว่า ข้อเท็จจริง ดังนั้น
ในการศึกษาเรื่องราวทางประวัติศาสตร์
นักเรียนจึงต้องค้นคว้าข้อมูลจากหลักฐาน หลายแหล่งหรืออ่านหนังสือหลายเล่ม
เพื่อจะได้สามารถแยกแยะว่าเรื่องใดเป็นความจริง เรื่องใดเป็นข้อเท็จจริง
เรื่องนี้ยังเป็นประโยชน์ในการรับรู้
รับฟังข้อมูลหรือเรื่องราวทั้งหลายในชีวิตประจำวันว่าเรื่องใดควรเชื่อ
และเรื่องใดไม่ควรเชื่อ
ขั้นตอนวิธีการทางประวัติศาสตร์
ขั้นตอนที่ 1 การกำหนดเป้าหมาย
ขั้นการกำหนดเป้าหมาย เป็นขั้นตอนแรก
นักประวัติศาสตร์ต้องมีจุดประสงค์ชัดเจนว่าจะศึกษาอะไร อดีตส่วนไหน
สมัยอะไร และเพราะเหตุใด เป็นการตั้งคำถามที่ต้องการศึกษา
นักประวัติศาสตร์ต้องอาศัยการอ่าน การสังเกต และควรต้องมีความรู้กว้างๆ
ทางประวัติศาสตร์ในเรื่องนั้นๆมาก่อนบ้าง
ซึ่งคำถามหลักที่นักประวัติศาสตร์ควรคำนึงอยู่ตลอดเวลาก็คือทำไมและเกิดขึ้น
อย่างไร
ขั้นตอนที่ 2 การรวบรวมข้อมูล
หลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่ให้ข้อมูล
มีทั้งหลักฐานที่เป็นลายลักษณ์อักษร และหลักฐานที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษร
มีทั้งที่เป็นหลักฐานชั้นต้น(ปฐมภูมิ) และหลักฐานชั้นรอง(ทุติยภูมิ)
ขั้นตอนที่ 3 การประเมินคุณค่าของหลักฐาน
ขั้นตอนที่ 3 การประเมินคุณค่าของหลักฐาน
วิพากษ์วิธีทางประวัติศาสตร์ คือ
การตรวจสอบหลักฐานและข้อมูลในหลักฐานเหล่านั้นว่า มีความน่าเชื่อถือหรือไม่
ประกอบด้วยการวิพากษ์หลักฐานและวิพากษ์ข้อมูลโดยขั้นตอนทั้งสองจะกระทำควบ
คู่กันไป เนื่องจากการตรวจสอบหลักฐานต้องพิจารณาจากเนื้อหา
หรือข้อมูลภายในหลักฐานนั้น
และในการวิพากษ์ข้อมูลก็ต้องอาศัยรูปลักษณะของหลักฐานภายนอกประกอบด้วยการ
วิพากษ์หลักฐานหรือวิพากษ์ภายนอก
ขั้นตอนที่ 4 การตีความหลักฐาน
การตีความหลักฐาน หมายถึง
การพิจารณาข้อมูลในหลักฐานว่าผู้สร้างหลักฐานมีเจตนาที่แท้จริงอย่างไร
โดยดูจากลีลาการเขียนของผู้บันทึกและรูปร่างลักษณะโดยทั่วไปของประดิษฐ์กรรม
ต่างๆเพื่อให้ได้ความหมายที่แท้จริงซึ่งอาจแอบแฟงโดยเจตนาหรือไม่ก็ตาม
ขั้นตอนที่ 5 การสังเคราะห์และการวิเคราะห์ข้อมูล
จัดเป็นขั้นตอนสุดท้ายของวิธีการทางประวัติศาสตร์
ซึ่งผู้ศึกษาค้นคว้าจะต้องเรียบเรียงเรื่อง
หรือนำเสนอข้อมูลในลักษณะที่เป็นการตอบหรืออธิบายความอยากรู้
ข้อสงสัยตลอดจนความรู้ใหม่ ความคิดใหม่ที่ได้จากการศึกษาค้นคว้านั้นลักษณะ
ประเภท และความสำคัญของหลักฐานทางประวัติศาสตร์
ความหมายและความสำคัญของประวัติศาสตร์
ประวัติศาสตร์
เป็นวิชาที่ว่าด้วยพฤติกรรมหรือเรื่องราวของมนุษย์ที่เกิดขึ้นในอดีต
ร่องรอยที่คนในอดีตสร้างเอาไว้ เป้าหมายของการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ คือ
การเข้าใจสังคมในอดีตให้ใกล้เคียงกับความเป็นจริงมากที่สุด
เพื่อนำมาเสริมสร้างความเข้าใจในสังคมปัจจุบัน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น